โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เห็นว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ S&P 500 ดีขึ้น ดัชนีหุ้นกว้างตัวนี้มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อความตึงเครียดระหว่างออนแทริโอ ประเทศแคนาดา ที่ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับการส่งออกไฟฟ้าไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ และทำเนียบขาว ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีกับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ตามด้วยการปรับความสัมพันธ์ภายหลัง อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากและเพิ่มความผันผวนของตลาดเข้าไปอีก

ตลาดนั้นสูงขึ้นตามความคาดหวัง หรืออาจกล่าวได้ว่าตามการคาดเดา การที่ S&P 500 ขึ้นสู่ระดับสูงในเดือนกุมภาพันธ์นั้นเกิดจากสองทฤษฎีที่ว่า การข่มขู่เรียกเก็บภาษีของทรัมป์นั้นเป็นเพียงกลยุทธ์การเจรจาต่อรอง และว่าประธานาธิบดีจะช่วยประคับประคองตลาดหุ้นในที่สุด แต่ทฤษฎีทั้งสองยังไม่เกิดขึ้นจริงเมื่อฤดูใบไม้ผลิกำลังมาถึง

ภาษีศุลกากรนั้นสูงอยู่แล้วและอาจสูงขึ้นไปอีก คำพูดของทรัมป์บ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะเสียสละตลาดหุ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของเขา นั่นคือ "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ความกลัวว่าแผนกลยุทธ์นี้อาจล้มเหลวทำให้ทุนไหลออกจากสหรัฐอเมริกา ทิ้งให้ S&P 500 ตามหลังคู่แข่งรายใหญ่อื่นๆ ในโลก

ผลการดำเนินงานของดัชนีหุ้น

ตามที่ทรัมป์กล่าว ตลาดจะขึ้นหรือลง แต่วาระสำคัญคือการฟื้นฟูประเทศโดยการนำโรงงานและอุตสาหกรรมกลับมายังสหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆ ได้ดึงธุรกิจและงานจากอเมริกาไป และถึงเวลาที่ต้องทวงคืน ประธานาธิบดีไม่เห็นว่าจะมีเศรษฐกิจถดถอยและคาดว่าจะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก

แต่ตลาดไม่ได้เชื่อตามนั้น Goldman Sachs ได้ปรับลดการคาดการณ์ปลายปีของ S&P 500 จาก 6,500 เป็น 6,200 โดยอ้างถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เย็นลง อัตราภาษีศุลกากรที่อาจสูงขึ้น และความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ซึ่งมักนำไปสู่การมีความเสี่ยงสูงขึ้นในหุ้น

หากทรัมป์ไม่สนับสนุน S&P 500 แล้วธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะเข้ามามีบทบาทหรือไม่? ตลาดอนุพันธ์ได้เพิ่มความคาดหวังต่อการผ่อนปรนทางการเงินภายในสิ้นปี โดยตอนนี้ราคาปรับสะท้อนถึงการลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดถึง 80 เบสิส พอยท์ เพิ่มขึ้นจาก 60 เบสิส พอยท์เมื่อสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตาม BNP Paribas เตือนว่านักลงทุนอาจผิดหวังในเรื่องนี้เช่นกัน เนื่องจาก Fed ซึ่งต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง อาจจะชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยเลือกที่จะประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจ

สิ่งที่ช่วยให้ยังพอมีความหวังอยู่ก็คือ ถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว การลดลงของดัชนี S&P 500 ที่ 10% จะลดลงไปเป็น 20% ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขสามข้อเกิดขึ้น: การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ, การถดถอยของรายได้, หรือการเข้มงวดนโยบายของ Fed อย่างรุนแรง ขณะนี้ไม่มีปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว

ในทางเทคนิค ดัชนี S&P 500 ยังคงเคลื่อนที่ตามรูปแบบ Expanding Wedge บนกราฟรายวัน กลยุทธ์ยังคงเหมือนเดิม—มุ่งเน้นไปที่การหาจังหวะขาย และใช้การฟื้นตัวจากแนวต้านที่ระดับ 5,670 และ 5,750 ในการจัดตั้งตำแหน่งขายในดัชนีหุ้นรวม