ตลาดคริปโตยังคงหยุดนิ่ง โดยไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนมาประมาณหนึ่งเดือน มีรายงานแพร่กระจายทางออนไลน์ว่า Tether อาจจำเป็นต้องขายสินทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่งรวมถึง Bitcoin, โลหะมีค่า, หลักทรัพย์ของบริษัท, และสินเชื่อที่มีหลักประกัน ขั้นตอนนี้จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎระเบียบ stablecoin ของสหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก JPMorgan

เมื่อไม่นานมานี้ นักกฎหมายสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ stablecoin ถึงสองฉบับ ได้แก่ ร่างกฎหมายเสริมสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบของ stablecoin เพื่อการขึ้นทะเบียนและพัฒนาเศรษฐกิจ (STABLE) ในสภาผู้แทนราษฎร และร่างกฎหมายชี้นำและสร้างนวัตกรรมระดับชาติสำหรับ stablecoin ของสหรัฐฯ (GENIUS) ในวุฒิสภา ร่างกฎหมายเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผู้ออก stablecoin ผ่านข้อกำหนดการออกใบอนุญาต, กฎการจัดการความเสี่ยง, และนโยบายการหนุนหลังสินทรัพย์ 1:1

JPMorgan รายงานว่ามีเพียง 66% ของเงินสำรองของ Tether เท่านั้นที่จะผ่านข้อกำหนดภายใต้กฎหมาย STABLE ขณะที่ 83% จะเป็นไปตามมาตรฐานภายใต้กฎหมาย GENIUS ซึ่งตัวเลขทั้งสองบ่งชี้ถึงการลดลงของอัตราการปฏิบัติตามข้อกำหนดตั้งแต่กลางปี 2024 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวน stablecoins

ปัจจุบัน Tether ถือครอง Bitcoin ประมาณ 83,758 หน่วย มูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ที่ราคาปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองซึ่งได้รับการยืนยันครั้งแรกโดย The Block ในปี 2023 ในปีเดียวกันนั้น Tether ได้ประกาศแผนที่จะจัดสรรกำไรต่อไตรมาสสูงสุด 15% สำหรับการซื้อ Bitcoin

เมื่อเดือนที่ผ่านมา Tether ได้เผยแพร่รายงานการรับรอง Q4 ประจำปี 2024 อธิบายถึงสินทรัพย์ที่ถือเป็นเงินสำรองสำหรับ stablecoins ที่ออก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 บริษัทชี้แจงว่าเงินสำรองส่วนเกินทะลุกว่า 7 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ขณะที่กำไรปี 2024 นั้นรวมเป็น 13 พันล้านดอลลาร์

กฎหมาย STABLE แนะนำถึงข้อกำหนดเงินสำรองที่เข้มงวดขึ้นและอนุญาตให้มีการควบคุมระดับรัฐ ในขณะที่กฎหมาย GENIUS กำหนดการดูแลจากรัฐบาลกลางสำหรับผู้ออกหลักและอนุญาตให้มีการถือครองสินทรัพย์เงินสำรองที่หลากหลายขึ้น หากใดกฎหมายหนึ่งผ่าน ร่างเงินสำรองของ Tether จะต้องปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อย้ายสินทรัพย์ไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องอื่น ๆ

แนวโน้มเทคนิคของ Bitcoin

ผู้ซื้อกำลังตั้งเป้าหมายที่จะกลับไปยังระดับ $97,400 ซึ่งจะเปิดทางไปยัง $98,800 และทำให้ราคาขยับเข้าใกล้ $100,200 เป้าหมายระยะยาวยังคงเป็น $101,200 ซึ่งหากทะลุไปได้จะแสดงสัญญาณการกลับเข้าสู่ตลาดขาขึ้นในระยะกลาง ในกรณีที่ Bitcoin ปรับตัวลดลง คาดว่าจะมีแนวรับอยู่ที่ $95,900 การลดลงต่ำกว่าระดับนี้อาจดัน BTC ไปยัง $94,300 โดยมีเป้าหมายปลายทางทางด้านล่างสุดอยู่ที่ $92,700

แนวโน้มทางเทคนิคของ Ethereum

การครองราคาที่มั่นคงเหนือ $2,733 จะเปิดทางไปสู่ $2,803 ตามด้วย $2,833 ซึ่งเป้าหมายระยะยาวของ ETH คือ $2,866 หากราคาสามารถผ่านระดับนี้ไปได้จะยืนยันตลาดกระทิงในระยะกลาง ในกรณีที่มีการปรับฐาน คาดว่าจะมีผู้ซื้อลงในบริเวณ $2,683 หาก ETH หล่นลงต่ำกว่าระดับนี้ ราคาก็อาจลดลงต่ำกว่าไปถึง $2,630 โดยมีเป้าหมายต่ำสุดที่ $2,558